วันนี้เราได้นำเอาวัดที่มีความสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรามาแนะนำกัน นั่นก็คือ วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือ วัดหลวงพ่อโสธร ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวแปดริ้วมายาวนาน จังหวัดฉะเชิงเทรา นั้นถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ และใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศวิถีชีวิตแห่งธรรมชาติ ที่มีความเรียบง่าย อยู่ท่ามกลางสายน้ำบางปะกง ซึ่งคอยทำหน้าที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตผู้คนทั้งสองฟากฝั่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอย่างหลากหลาย จึงทำให้ปัจจุบันกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ใครหลาย ๆ คนได้ลิสต์เอาไว้อันดับต้น ๆ โดยเฉพาะการ ไหว้หลวงพ่อพุทธโสธร ที่มักได้รับความนิยมเสมอ
ประวัติวัดวัดหลวงพ่อโสธร
วัดหลวงพ่อโสธร ถือได้ว่าเป็นที่มีความเก่าแก่ ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายในตั้งประดิษฐาน องค์หลวงพ่อพระพุทธโสธร หรือที่นิยมเรียกกันว่า หลวงพ่อโสธร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ลงรักปิดทองแบบสมัยล้านช้าง ถูกยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองฉะเชิงเทรามาแต่ช้านาน โดยเดิมทีวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดหงส์” เนื่องจากในสมัยก่อนจะมีเสาหงส์อยู่ภายในวัด มีการเล่าต่อ ๆ กันมาว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยฝีมือชาวมอญ ต่อมาได้มีพายุใหญ่พัดเอาตัวหงส์ที่อยู่บนยอดเสาหักพังลงมาจนทำให้เหลือแต่เสา ชาวบ้านจึงได้นำผ้าขึ้นไปผูกไว้แทน ต่อมาผู้คนพากันเรียกว่า วัดเสาธง หลังเวลาผ่านไปเสาถูกแดดลมกัดกร่อน เมื่อถูกพายุจึงหักลงมาเป็นสองท่อน ชาวบ้านจึงพากันเรียกชื่อวัดว่า วัดเสาธงทอน ตามลักษณะการหัก
เรื่องเล่ายังมีต่อไปอีกว่า ครั้งหนึ่งได้มีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ 3 พี่น้อง ลอยตามแม่น้ำปิงมาจากทางเหนือ ลัดเข้าคลองมาทางพระโขนง ก่อนออกสู่แม่น้ำบางปะกง และโผล่พ้นน้ำให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงช่วยกันชักลากขึ้นจากน้ำแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาพระพุทธรูปองค์พี่ใหญ่ลอยเข้าไปตามลำแม่น้ำแม่กลอง แล้วไปผุดขึ้นที่บริเวณบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม ชาวบ้านอัญเชิญขึ้นไว้ที่วัดบ้านแหลม ได้ชื่อว่า หลวงพ่อบ้านแหลม ส่วนพระน้ององค์เล็กได้ลอยตามน้ำล่องไปตามคลองบางพลี และผุดขึ้นที่คลองใกล้วัดบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ชาวบ้านได้อัญเชิญขึ้นไว้ที่วัดบางพลี มีชื่อว่า หลวงพ่อโตบางพลี สำหรับองค์กลางมาผุดขึ้นที่หน้าวัดหงส์ ชาวบ้านได้นำเชือกมาผูกเพื่อจะชักลากขึ้นฝั่งแต่ไม่สำเร็จ ที่สุดได้มีผู้รู้ทางไสยศาสตร์ร่วมกับชาวบ้านทำที่ตั้งศาลเพียงตา ทำพิธีบวงสรวงแล้วเอาด้ายสายสิญจน์คล้องไว้กับพระหัตถ์ จึงอัญเชิญขึ้นมาได้สำเร็จ และนำมาประดิษฐานไว้ที่อุโบสถของวัด
วันที่ได้ทำการอัญเชิญ หลวงพ่อโสธร ขึ้นมาจากน้ำตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 5 โดยมีการสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในราว ๆ ปีพุทธศักราช 2313 ซึ่งเป็นช่วงต้นกรุงธนบุรี โดยต่อมาชาวบ้านนั้นได้ร่วมใจกันถวายนามว่า “พระโสทร” มีความหมายที่ว่า “พี่น้องร่วมอุทร” ซึ่งจะหมายถึงพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ที่ได้ลอยตามน้ำกันมา หลังจากนั้นจึงได้เรียกชื่อวัดตามชื่อหลวงพ่อ “วัดโสทร” ล่วงมาถึงรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คำว่า โสทร ได้เปลี่ยนไปเขียนใหม่เป็น โสธร ที่มีความหมายว่าบริสุทธิ์หรือศักดิ์สิทธิ์
ประวัติหลวงพ่อโสธร
พระพุทธโสธร หรือที่เรียกกันว่า หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 165 เซนติเมตร สูง 198 เซนติเมตร ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ 4 ชั้น ปูลาดด้วยผ้าทิพย์ ซึ่งหมายถึงการอยู่สูงสุด เป็นพุทธเหนืออริยบุคคล 4 คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ตามประวัติเล่าว่า เดิมเป็นพระพุทธธูปหล่อด้วยสัมฤทธิ์ ปางสมาธิ หน้าตักกว้างศอกเศษ รูปทรงสวยงาม ภายหลังพระสงฆ์ภายในวัดเห็นความงดงามนี้จะเป็นอันตรายต่อองค์พระเอง จึงได้ช่วยกันนำปูนมาพอกเสริมปั้นหุ้มองค์เดิมไว้ พระพุทธโสธรที่เห็นในปัจจุบันจึงเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ลงรักปิดทอง พระพักตร์แบบศิลปะล้านนา พระเกตุมาลาแบบปลี โดยมีความกว้างของพระเพลาที่ 3 ศอก 5 นิ้ว หรือเท่ากับ 1 เมตร 65 เซนติเมตร และสูง 1 เมตร 98 เซนติเมตร
องค์จริงของหลวงพ่อโสธร อยู่ที่ไหน
การเดินทางไปเพื่อกราบไหว้นมัสการขอพรจากหลวงพ่อโสธร นั้นจะนิยมไปที่พระอุโบสถทั้ง 2 หลัง โดยจะมี พระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งได้ตั้งประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จริงเอาไว้ และพระอุโบสถที่อยู่ด้านข้าง ๆ นั้นจะเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรองค์จำลอง แต่ไม่สามารถเข้าไปกราบไหว้และแก้บนได้ (ไม่อนุญาติให้จุดธูปจุดเทียน) ซึ่งประชาชนสามารถเข้ากราบไหว้หลวงพ่อโสธรได้ทั้ง 2 พระอุโบสถ โดยทางโบสถ์ที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธองค์จริงนั้นก็ไม่อนุญาตให้จุดธูปเทียนทางด้านในด้วยเช่นกัน แต่สามารถเข้าไปกราบนมัสการได้ตามปกติ
ขอพร หลวงพ่อโสธร
เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับคำเล่าขานในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหาริย์ในเรื่องต่าง ๆ ของหลวงพ่อโสธร ซึ่งได้เกิดขึ้นต่อเหล่าผู้ที่มีความศรัทธาในตัวท่าน จึงทำให้มีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากพากันหลั่งไหลเข้ามากราบไหว้ และขอพรขอบารมีจากหลวงพ่อให้ช่วยปกป้องคุ้มครองหรือรักษาโรคภัยให้แคล้วคลาดปลอดภัย จนมีการเล่าขานกันต่อ ๆ มาว่า ใช้ขี้ธูป ดอกไม้บูชาที่แห้งเหี่ยวแล้ว และอธิษฐานหยดเทียน ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อมาทำยา ปรากฏว่าโรคหาย จนกลายเป็นกิตติศัพท์โด่งดังไปทั่ว
สิ่งที่ห้ามขอจากหลวงพ่อโสธร
ต้องบอกเลยว่าเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร นั้นทำให้ปัจจุบันมีคนเดินทางมาบนบานศาลกล่าว หวังพึ่งพาบารมีความศักดิ์สิทธิ์กันทั่วหน้า ว่ากันว่าเรื่องที่บนแล้วจะไม่สมหวัง คือ “ขอไม่ให้เป็นทหาร” เล่ากันว่าเพราะหลวงพ่อชอบให้คนเป็นทหาร จะได้ปกป้องรักษาบ้านเมือง ใครมาบนว่าไม่อยากเป็นทหาร เชื่อหรือไม่ว่าเป็นต้องถูกเกณฑ์ทุกราย และเรื่อง “ขอบุตร” (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล จริงเท็จแค่ไหนต้องใช้วิจารณญาณให้ดี ๆ นะ)
การเดินทางไปกราบไหว้หลวงพ่อโสธร
วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือที่มักเรียกกันว่า วัดหลวงพ่อโสธร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกง ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ห่างจากสถานีรถไฟชุมทางฉะเชิงเทราเพียง 4 กิโลเมตร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร การเดินทางมายังวัดหลวงพ่อโสธร สามารถทำได้โดยสะดวก และมีการเดินทางหลากหลายวิธี ดังนี้
- รถไฟ สามารถขึ้นรถไฟที่สายตะวันออก เส้นทางกรุงเทพฯ (หัวลำโพง)-อรัญประเทศ โดยให้ลงที่สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฉะเชิงเทราแล้วจะมีรถสองแถวสีเหลืองมารอรับในสถานีรถไฟ เพื่อเดินทางต่อไปยังวัดโสธรวรารามวรวิหารได้เลย
- รถตู้ มีบริการรถตู้สาธาณะระหว่างกรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคิวรถตู้สถานีขนส่งหมอชิต, คิวรถตู้สถานีขนส่งเอกมัย และคิวรถตู้เมเจอร์ รังสิต เป็นต้น
วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือที่คนฉะเชิงเทรานั้นเรียกกันว่า วัดหลวงพ่อโสธร เป็นอีกหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาอย่างยาวนาน และใครหลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ ของ หลวงพ่อโสธร หรือ หลวงพ่อพุทธโสธร ที่ควบคู่กันไปด้วย เรียกว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากผู้คนที่เดินทางไปกราบไหว้ขอพรจากท่าน ล้วนแต่สำเร็จและสมหวังดังตั้งใจกันเป็นจำนวนมาก สำหรับวันนี้ วัดจังหวัดฉะเชิงเทรา ต้องขอตัวลาไปก่อน กลับมาพบกันได้ใหม่อีกครั้งในบทความหน้า สวัสดีครับ
